ประกันสะสมทรัพย์ กรุงไทย-แอกซ่า “ไลฟ์ ซุปเปอร์ เซฟ 14/5” Life Super Save 14/5
- ส่งเบี้ย 5 ปี
- คุ้มครอง 14 ปี ครบสัญญารับเงินคืน
- รับผลประโยชน์รวมตลอดสัญญา 608% ของจํานวนเงินเอาประกันภัย
- ใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
กรุงไทย-แอกซ่า “Life Super Save 14/5” วางแผนการเงินอย่างง่ายๆ ให้คุณใช้ชีวิตให้ดีกว่าเดิม
รวมผลประโยชน์รวม 608%
กรณีมีชีวิตอยู่ตลอดสัญญาสูงถึง 608%*
ไม่ต้องตรวจและตอบคำถามสุขภาพ
คุ้มค่ายิ่งขึ้นกับการลดหย่อนภาษี
เบี้ยของ ประกันสะสมทรัพย์ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี
ตัวอย่างผลประโยชน์
ตารางแสดงการรับผลประโยชน์
วางแผนเปลี่ยนชีวิตสู่ความมั่งคั่ง
ครบสัญญารับเงินก้อนใหญ่
รับ 548% ของเงินเอาประกันภัยในสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 14
รับเงินคืนทุกปี
2% ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1-5
4% ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 6-10
10% ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 11-13
548% ในสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 14
เบี้ยคงที่ตลอดสัญญา
ส่งเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 14 ปี
คุ้มครองกรณีเสียชีวิต
ปีที่ 1 รับความคุ้มครอง 101%*
ปีที่ 2 รับความคุ้มครอง 202%*
ปีที่ 3 รับความคุ้มครอง 315%*
ปีที่ 4 รับความคุ้มครอง 420%*
ปีที่ 5-14 รับความคุ้มครอง 525%*
* อัตราร้อยละของจํานวนเงินเอาประกันภัย
จำนวนเงินเอาประกันภัยขั้นต่ำ
50,000 บาทขึ้นไป
อายุรับสมัคร
1 เดือน – 70 ปี
สอบถามเบี้ย | ขอแบบเสนอ
ให้ตัวแทนติดต่อกลับ
หมายเหตุ
• ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยได้
• ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น เพื่อใช้ประกอบการนําเสนอเท่านั้น ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทําความเข้าใจในเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทําประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้วโปรดศึกษารายละเอียด ข้อกําหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์
ประกันสะสมทรัพย์ / ประกันเงินออม
กรุงไทย-แอกซ่า Life Super Save 14/5
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 กำหนดให้ผู้มีเงินได้มีหน้าที่เสียภาษี ดังนี้
- บุคคลธรรมดา
- ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
- ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
- กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
- วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
โดยผู้มีเงินได้จะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและเสียภาษีตามจำนวนเงินได้สุทธิที่ได้รับ
บุคคลธรรมดาที่ต้องเสียภาษีได้แก่
- บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป
- บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 150,000 บาท แต่มีรายได้จากงานประจำหรือเงินเดือนเพียงทางเดียว และมีรายได้ตลอดทั้งปี เกิน 120,000 บาท แต่คำนวณเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท ต้องยื่นภาษีแต่ไม่เสียภาษี
เงินได้ที่ต้องเสียภาษีได้แก่
- เงินได้พึงประเมินจากแหล่งในประเทศไทย
- เงินได้พึงประเมินจากแหล่งนอกประเทศไทย
เงินได้พึงประเมินจากแหล่งในประเทศไทย ได้แก่
- เงินได้จากการทำงาน
- เงินได้จากการลงทุน
- เงินได้จากการประกอบธุรกิจ
- เงินได้อื่นๆ
เงินได้พึงประเมินจากแหล่งนอกประเทศไทย ได้แก่
- เงินได้จากการประกอบอาชีพ
- เงินได้จากการประกอบธุรกิจ
- เงินได้อื่นๆ
วิธีคำนวณภาษี
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคำนวณตามหลักเกณฑ์ดังนี้
- เงินได้พึงประเมิน = เงินได้ทั้งสิ้นที่ได้รับ – ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับเงินได้
- เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน – การหักลดหย่อน
- ภาษีที่ต้องชำระ = อัตราภาษี x เงินได้สุทธิ
อัตราภาษี
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีดังนี้
- รายได้ 0-150,000 บาท ยกเว้นอัตราภาษี
- รายได้ 150,001-300,000 บาท อัตราภาษี 5% (ภาษีที่ต้องเสียสูงสุดในขั้นนี้คือ 7,500 บาท)
- รายได้ 300,001-500,000 บาท อัตราภาษี 10% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 20,000 บาท)
- รายได้ 500,001-750,000 บาท อัตราภาษี 15% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 37,500 บาท)
- รายได้ 750,001-1,000,000 บาท อัตราภาษี 20% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 50,000 บาท)
- รายได้ 1,000,001-2,000,000 บาท อัตราภาษี 25% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 250,000 บาท)
- รายได้ 2,000,001-5,000,000 บาท อัตราภาษี 30% (ภาษีที่ต้องเสียในขั้นนี้คือ 600,000 บาท)
- รายได้ 5,000,000 บาทขึ้นไป อัตราภาษี 35%
การยื่นแบบแสดงรายการภาษี
ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามี 2 แบบ ได้แก่
- แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป
- แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 150,000 บาท
ผู้มีเงินได้สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีได้ดังนี้
- ยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่
- ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
- ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Filing
การชำระภาษี
ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้ภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
ผู้มีเงินได้สามารถชำระภาษีได้ดังนี้
- ชำระด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่
- ชำระทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
- ชำระทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Payment
การหักลดหย่อนภาษี
ผู้มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนภาษีได้หลายรายการ เช่น
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว
- ค่าลดหย่อนเพื่อการออม
- ค่าลดหย่อนเพื่อการศึกษา
- ค่าลดหย่อนเพื่อการลงทุน
- ค่าลดหย่อนอื่นๆ
- ค่าลดหย่อนจาก ประกันสะสมทรัพย์
- ค่าลดหย่อนจากประกันบำนาญ
ผู้มีเงินได้สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหักลดหย่อนภาษีได้จากกรมสรรพากร